เงินสี่ด้าน

เงินสี่ด้าน

วันนี้ผมมาเล่าแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับเรื่องของเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับในการใช้ชีวิตของพวกเราในยุคนี้ โดยแนวคิดนี้มาจากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก ซึ่งแนวคิดของ เงินสี่ด้าน จะมีแนวคิดอย่างไร ให้ข้อคิดกับผู้อ่านอย่างไร เรามารู้จักกับคำว่า เงินสี่ด้านกันเลยครับ

ก่อนที่เราจะรู้ถึงแนวคิดของเงินสี่ด้าน เรามารู้จักความหมายของตัวอักษรทั้ง 4 ด้านตามภาพข้างต้นกันก่อน

  • ด้าน E ย่อมาจาก Employee – ลูกจ้าง
  • ด้าน S ย่อมาจาก Self-employed – ทำธุรกิจส่วนตัว หรือ Small Business Owner – เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก
  • ด้าน B ย่อมาจาก Business Owner – เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่
  • ด้าน I ย่อมาจาก Investor – นักลงทุน

1. E (Employee: ลูกจ้าง)

การหาเงินที่ได้มาจากการรับจ้าง เรียกว่าเอาหยาดเหงื่อแรงกายเข้าแลก ต้องเหน็ดเหนื่อย ทนร้อน บางครั้งอาจต้องทนคำบ่นก่นด่าจากผู้จ้าง รับค่าจ้างเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือก็เป็นรายเดือน อยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องเอาแรงและเวลาไปแลกเงินมากขึ้น เช่น พนักงานประจำอยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องทำ OT เป็นต้น คนส่วนใหญ่จะได้เงินจากวิธีนี้ จะว่าไปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ขาดอิสรภาพหลายๆ อย่าง เพราะวิธีและตารางเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต จะมีนายจ้างเป็นผู้กำหนด ป่วยก็ต้องลา จะหยุดก็ต้องลา

2. S (Self – Employed: กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก)

เป็นเงินที่มาจากการทำอาชีพส่วนตัว งานนี้แม้จะมีอิสระและดูเหมือนว่าจะดูดีกว่าแบบที่หนึ่ง เพราะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการเอง ตัดสินใจเอง บริหารจัดการเอง แต่ในความเป็นจริง เหนื่อยมาก เพราะต้องพบกับคู่แข่งทางการค้าที่หลากหลาย และต้องสร้างสมประสบการณ์ที่มากพอ สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ จำนวนเงินทุน หากเรามีทุนน้อย ก็ไม่สามารถที่จะไปต่อกรกับคู่แข่งที่มีทุนมากกว่า จากสถิติพบว่า คนที่เริ่มต้นกิจการใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะล้มเหลวหรือล้มเลิกไปภายใน 3 ถึง 5 ปี จะเห็นว่า การจะหาเงินจากวิธีนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก ค่าเฉลี่ยความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสามารถยืนหยัดและมีแนวความคิดที่โดดเด่น ก็สามารถสร้างผลตอบแทนหรือมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ คุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก และสามารถต่อยอดขยาย ธุรกิจออกไปจนใหญ่โต สร้างงานให้คนกลุ่มแรกได้

3. B (BUSINESS OWNER: เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)

คือเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ รายได้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เติบโตและถูกต่อยอดมาจากการประกอบอาชีพส่วนตัว เมื่อประสบความสำเร็จก็ขยายสาขาหรือเพิ่มสินค้า แตกธุรกิจไปเป็นสาขาอื่น ส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะไม่ต้องลงแรงเองแล้ว จะใช้วิธีจ้างคนเก่งมาทำงานแทน เจ้าของก็นั่งดูแลหรือบริหารในภาพรวม งานลักษณะนี้ถือเป็นการงานขนาดใหญ่ ต้องมีทุนมากหรือมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่เพียงพอ ผู้บริหารจะต้องบริหารจัดการให้ดี มีการแบ่งแยกงานหลายระดับหลายหน้าที่ คนที่เป็นเจ้าของแม้ไม่เหนื่อยกายมาก ก็ต้องเหนื่อยใจ หรือเหนื่อยในการที่จะต้องพบปะบริหารจัดการเรื่องคนแทน ส่วนค่าตอบแทนถือว่ามหาศาล หากธุรกิจดำเนินไปด้วยดี การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นและจ้างให้คนอื่นมาทำงานให้ธุรกิจของเราเติบโต (ก็คือจ้างคนกลุ่ม E และ S มาทำแทนให้เรา) เป็นการทำงานเป็นทีม รายได้ไม่มีขีดจำกัด

4. I (INVESTOR: นักลงทุน)

เป็นรายได้จากการลงทุน หมายถึงนำเงินไปต่อเงิน หรือให้เงินทำงานแทนเรานั่นเอง รายได้แบบนี้ส่วนใหญ่เราไม่ต้องลงแรง หรือเหนื่อยยากอะไร เพียงแต่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ที่เชี่ยวกราก หรือเรียกว่า เขี้ยวลากดินก็ได้ เพราะในหมู่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนผ่านวิกฤตต่างๆ มานับนับไม่ถ้วน เพราะการลงทุนแม้ไม่ต้องออกแรงกาย แต่ต้องใช้แรงสมอง และทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูง ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย แต่ไม่ใช่ทุกการลงทุนที่จะสร้างรายได้ มีหลายครั้งที่นักลงทุนพลาด เสียเงินเสียทองก็เยอะเหมือนกัน การลงทุนมีหลายรูปแบบ เช่น ลงทุนหุ้น เพื่อหวังปันผล ลงทุนซื้อที่ดิน หรือพวกบ้านคอนโด เพื่อรอผลตอบแทนในระยะยาว หรือแม้กระทั่งซื้อธุรกิจ กิจการมาในราคาถูก นำมาบริหารจัดการสร้างผลตอบแทนที่ดี หรือนำมาปั้นเสร็จแล้วขายออกไปก็ได้ การทำเงินแบบคนด้าน I คือ มองหาการลงทุนที่สามารถใช้เงินของเรา ออกไปทำงาน สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรา

จะเห็นได้ว่า เคล็ดลับความร่ำรวยอยู่ที่การทำเงินในด้าน B และ I ที่ทำเงินได้มาก ในขณะที่เราใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ในตอนท้ายของหนังสือชุดนี้ ผู้เขียนได้ถามเราว่า “ตอนนี้เราอยู่ด้านไหนของ เงิน 4 ด้าน และครอบครัวของเรา คนรักและญาติๆ ของเรา เขามีรายได้จากด้านไหนบ้าง? เมื่อเรารู้แล้วว่าเราอยู่ด้านไหนแล้ว เราต้องการจะอยู่ด้านไหนมากกว่ากัน?”1. E (Employee: ลูกจ้าง)

การหาเงินที่ได้มาจากการรับจ้าง เรียกว่าเอาหยาดเหงื่อแรงกายเข้าแลก ต้องเหน็ดเหนื่อย ทนร้อน บางครั้งอาจต้องทนคำบ่นก่นด่าจากผู้จ้าง รับค่าจ้างเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือก็เป็นรายเดือน อยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องเอาแรงและเวลาไปแลกเงินมากขึ้น เช่น พนักงานประจำอยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องทำ OT เป็นต้น คนส่วนใหญ่จะได้เงินจากวิธีนี้ จะว่าไปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ขาดอิสรภาพหลายๆ อย่าง เพราะวิธีและตารางเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต จะมีนายจ้างเป็นผู้กำหนด ป่วยก็ต้องลา จะหยุดก็ต้องลา

น่าเสียดายที่คนในด้าน E มุ่งเน้นแต่แสวงหาความมั่นคง แต่เขาไม่รู้เลยว่า วันดีคืนดีเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไรก็ได้ บริษัทอาจจะต้องปิดตัวหรือปลดคนงานออกเพื่อลดต้นทุน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนด้าน E ไม่สามารถควบคุมได้

2. S (Self – Employed: กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก)

เป็นเงินที่มาจากการทำอาชีพส่วนตัว งานนี้แม้จะมีอิสระและดูเหมือนว่าจะดูดีกว่าแบบที่หนึ่ง เพราะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการเอง ตัดสินใจเอง บริหารจัดการเอง แต่ในความเป็นจริง เหนื่อยมาก เพราะต้องพบกับคู่แข่งทางการค้าที่หลากหลาย และต้องสร้างสมประสบการณ์ที่มากพอ สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ จำนวนเงินทุน หากเรามีทุนน้อย ก็ไม่สามารถที่จะไปต่อกรกับคู่แข่งที่มีทุนมากกว่า จากสถิติพบว่า คนที่เริ่มต้นกิจการใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะล้มเหลวหรือล้มเลิกไปภายใน 3 ถึง 5 ปี จะเห็นว่า การจะหาเงินจากวิธีนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก ค่าเฉลี่ยความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสามารถยืนหยัดและมีแนวความคิดที่โดดเด่น ก็สามารถสร้างผลตอบแทนหรือมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ คุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก และสามารถต่อยอดขยาย ธุรกิจออกไปจนใหญ่โต สร้างงานให้คนกลุ่มแรกได้

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ S ที่สำคัญที่สุดคือ ” เวลา “ เพราะเราไม่สามารถหยุดทำงานได้ เช่นหากเราเป็นเจ้าของร้าน หากเราต้องการปิดร้านเพื่อไปพักผ่อน รายได้ของเรา (จากร้านค้าของเรา) ในวันนั้น ก็จะไม่มี

3. B (BUSINESS OWNER: เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)

คือเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ รายได้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เติบโตและถูกต่อยอดมาจากการประกอบอาชีพส่วนตัว เมื่อประสบความสำเร็จก็ขยายสาขาหรือเพิ่มสินค้า แตกธุรกิจไปเป็นสาขาอื่น ส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะไม่ต้องลงแรงเองแล้ว จะใช้วิธีจ้างคนเก่งมาทำงานแทน เจ้าของก็นั่งดูแลหรือบริหารในภาพรวม งานลักษณะนี้ถือเป็นการงานขนาดใหญ่ ต้องมีทุนมากหรือมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่เพียงพอ ผู้บริหารจะต้องบริหารจัดการให้ดี มีการแบ่งแยกงานหลายระดับหลายหน้าที่ คนที่เป็นเจ้าของแม้ไม่เหนื่อยกายมาก ก็ต้องเหนื่อยใจ หรือเหนื่อยในการที่จะต้องพบปะบริหารจัดการเรื่องคนแทน ส่วนค่าตอบแทนถือว่ามหาศาล หากธุรกิจดำเนินไปด้วยดี การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นและจ้างให้คนอื่นมาทำงานให้ธุรกิจของเราเติบโต (ก็คือจ้างคนกลุ่ม E และ S มาทำแทนให้เรา) เป็นการทำงานเป็นทีม รายได้ไม่มีขีดจำกัด

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ B คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” การเริ่มต้นสร้างธุรกิจต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินเพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการขาดทุน หลายๆ คนไม่สามารถก้าวข้ามสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ เพราะกลัวเสียเงินนั่นเอง

4. I (INVESTOR: นักลงทุน)

เป็นรายได้จากการลงทุน หมายถึงนำเงินไปต่อเงิน หรือให้เงินทำงานแทนเรานั่นเอง รายได้แบบนี้ส่วนใหญ่เราไม่ต้องลงแรง หรือเหนื่อยยากอะไร เพียงแต่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ที่เชี่ยวกราก หรือเรียกว่า เขี้ยวลากดินก็ได้ เพราะในหมู่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนผ่านวิกฤตต่างๆ มานับนับไม่ถ้วน เพราะการลงทุนแม้ไม่ต้องออกแรงกาย แต่ต้องใช้แรงสมอง และทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูง ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย แต่ไม่ใช่ทุกการลงทุนที่จะสร้างรายได้ มีหลายครั้งที่นักลงทุนพลาด เสียเงินเสียทองก็เยอะเหมือนกัน การลงทุนมีหลายรูปแบบ เช่น ลงทุนหุ้น เพื่อหวังปันผล ลงทุนซื้อที่ดิน หรือพวกบ้านคอนโด เพื่อรอผลตอบแทนในระยะยาว หรือแม้กระทั่งซื้อธุรกิจ กิจการมาในราคาถูก นำมาบริหารจัดการสร้างผลตอบแทนที่ดี หรือนำมาปั้นเสร็จแล้วขายออกไปก็ได้ การทำเงินแบบคนด้าน I คือ มองหาการลงทุนที่สามารถใช้เงินของเรา ออกไปทำงาน สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรา

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ I คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” ผู้ที่เริ่มต้นอาจจะต้องผิดพลาด ล้มเหลวบ้างแต่ทั้งหมดนั้นจะเป็นกลายเป็นประสบการณ์ทำให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการเงินมากเท่าไร จะเป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุด และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

 

ความแตกต่างระหว่าง E กับ S และฝั่งขวา B กับ I ของเงินสี่ด้านก็คือ คนฝั่งซ้ายจะใช้แรงตัวเองในการทำงานหนักเพื่อหาเงิน ส่วนฝั่งด้านขวา ด้าน B จะเกี่ยวกับการทำงานเป็นทีม และด้าน I จะเกี่ยวกับการใช้เงินทำงานหนักแทนตัวคุณ

เป้าหมายของพวกเราก็คือ การมีรายได้ที่มาจากฝั่งขวาของเงินสี่ด้านให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นด้านที่เงินทำงานหนักแทนตัวเรา รายละเอียดต่อไปนี้ เป็นความแตกต่างระหว่างฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเงินสี่ด้าน

ฝั่งซ้าย (E-S)

  • ทำงานคนเดียว
  • ความมั่นคงทางอาชีพเป็นเรื่องสำคัญ
  • หาความรู้จากในโรงเรียน
  • ใช้เวลาของคุณทำงาน
  • ตัวคุณเป็นคนทำงาน
  • ความสำเร็จทำให้ยุ่งวุ่นวายมากขึ้น
  • สิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นเรื่องสำคัญ
  • รายได้มีขีดจำกัด
  • ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีน้อย

ฝั่งขวา (B-I)

  • ทำงานเป็นทีม
  • อิสรภาพเป็นเรื่องสำคัญ
  • หาความรู้จากประสบการณ์
  • ใช้เงินและเวลาของคนอื่นทำงาน
  • ระบบทำงานให้คุณ
  • ความสำเร็จทำให้มีเวลามากขึ้น
  • ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ
  • รายได้ไร้ขีดจำกัด
  • ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีมากมาย

จากที่กล่าวข้างต้นด้าน B กับด้าน S ต่างก็เป็นเจ้าของธุรกิจด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองด้านแตกต่างกันอย่างไร เรามารู้จักไปพร้อมๆกันครับ

ถ้าเจ้าของธุรกิจในด้าน E-S หยุดทำงาน รายได้ของเขาก็หายไปด้วย ส่วนธุรกิจในด้าน B-I สามารถดำเนินงานได้หลายแห่งในเวลาเดียวกัน

จากบทความข้างต้นเราได้ทราบถึงรายละเอียดและข้อแตกต่างของธุรกิจในด้านต่างๆ และในบทความต่อไป จะมีรายละเอียดในด้านใดบ้างเกี่ยวกับ เงินสี่ด้าน ให้ผู้อ่านติดตามในบทความต่อไปครับ

อ้างอิง

พ่อรวยสอนลูก โดย Robert T. Kiyosaki เรียบเรียงโดย นพพล วราไพบูลย์